มานพ ปานสาคร ผู้ตัดสินนัดอือฉาว นัดที่ “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท เอฟซี เปิดสนามเขาพลองสเตเดี้ยมเอาชนะ “มังกรไฟ” บีอีซี เทโร ศาสน ไปได้ 2-1 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ถูกจับได้ว่าให้การโกหก ด้วยเครื่องจับเท็จ โดยคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล (คปบ. ) ซึ่งส่อแววไปในทางทุจริต อาจมีการรับสินบนล็อคผลการแข่งขัน ซึ่งการพิจารณา มี พล.ต.อ วรพงษ์ ชิวปรีชา ประธานกรรมการ เป็นประธาน, และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร เป็นคณะกรรมการอีกหลายท่าน ร่วมพิจารณา
จากการรับชมวีดีโอการแข่งขันของคู่นี้มีกรณีปัญหาในการตัดสินของกรรมการผู้ตัดสินคือนาย มานพ ปานสาครใน3จังหวะหลักๆด้วยกันคือ 1.จังหวะที่ลูกเตะมุมของ กรกช วิริยะอุดมศิริ เข้าไประตูไปแล้วแต่บอลเด้งออกมา ผู้ตัดสินจึงปฏิเสธการให้ประตู 2.จังหวะที่ สุรเชษฐ์ งามทิพย์ สไลด์เปิดปุ่มเข้าใส่ คาเล็ด คารูบี้ ของบีอีซี ซึ่งผู้ตัดสินให้เพียงใบเหลือง และ 3. จังหวะที่ ณภัทร ทับเกตุแก้ว เตะอัดใส่ กรกช วิริยะอุดมศิริ ของบีอีซีเทโรศาสน แล้วไม่โดนคาดโทษอะไรเลย
ผลจากการเข้าเครื่องจับเท็จ โดยมีการตั้งคำถามแบบตรงๆว่า “ท่านรับเงินค่าจ้างให้ทำหน้าที่ตัดสินช่วยเหลือให้ทีม ชัยนาท เอฟซี ชนะจริงหรือไม่ ? ครั้งที่1 เมื่อวันที่11 มิ.ย. ที่ผ่านมา มานพ ปานสาครผู้ตัดสินที่1 ตอบว่า “ไม่จริง” ส่วน นาย วราฤทธิ์ สุวรรณจิระ ผช.ผู้ตัดสินที่2 ถามด้วยคำถามเดียวกับ และตอบด้วยคำตอบเดียวกัน เบื้องต้นได้พิจารณาว่า อาจจะมีการประพฤติมิชอบ
จึงได้เชิญตัว นาย มานพ ปานสาคร เข้าเครื่องจับเท็จ เป็นครั้งที่2 เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ถามด้วยคำถามเดียวกัน ผลจากการตรวจจากเครื่องจับเท็จปรากฏว่า นายมานพ ปานสาคร ให้การ “ เป็นเท็จ” ส่วน นาย วราฤทธิ์ สุวรรณจิระ ผลการตรวจจากเครื่องจับเท็จให้การ “เป็นจริง”
ซึ่งหลังจากนั้น “บิ๊กย้อย “พล.ต.อ. วรพงษ์ ชิวปรีชา ประธาน คปบ. ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “โดยส่วนตัวเชื่อมั่นในเครื่องจับเท็จว่าค่อนข้างที่จะใว้ได้เกือบจะ100เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าเราไม่มีหลักฐานทางด้านการเงินที่จะเอามามัดตัวเขาได้เท่านั้นเอง อีกทั้ง กฎหมายล้มบอลเราก็ไม่มี รองรับ แต่อย่างไรก็ตามขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าสิ้นสุดลงไปแล้วลำดับต่อมาก็คงจะให้ทางสมาคมฟุตบอลฯพิจารณาลงโทษทางวินัย”